การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป้าหมาย Net Zero เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือการเลือกใช้พลังงานทางเลือกรูปแบบใหม่ที่ทุกประเทศกำลังเร่งพัฒนา เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับประเทศไทยและญี่ปุ่นนั้น ภายในปี 2030 มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงานให้ได้ 40% และ 42% ตามลำดับ
สำหรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย ในปี 2026—2037 ตั้งเป้าให้มีการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 43% พลังงานความร้อนร่วม 15% โรงไฟฟ้าแบบใหม่ 19% การผลิตไฟฟ้าจากมาตรการอนุรักษ์พลังงาน 11% ถ่านหิน 2% และรับซื้อไฟจากต่างประเทศ 10% เนื่องจากไทยต้องการลดการพึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้นการรับซื้อไฟจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเลือกใช้พลังงานสะอาด และยังเป็นการรักษาเสถียรภาพทางด้านไฟฟ้าและพลังงานอีกด้วย เนื่องจากไทยอาศัยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเมียนมาร์ ที่ความไม่มั่นคงในอนาคตทั้งทางด้านพลังงานและสถานการณ์ปัญหาความมั่นคงภายใน
ส่วนญี่ปุ่นนั้น ตามรายงานขององค์กร Japan Electric Power Information Center ตั้งเป้าการผลิตไฟฟ้าในปี 2030 โดยไฟฟ้าที่ใช้ในญี่ปุ่นจะมาจาก พลังงานหมุนเวียน 36-38% นิวเคลียร์ 20-22% ก๊าซธรรมชาติ (LNG) 20% ถ่านหิน 19% และอื่นๆ 2% โดยในสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนนั้น มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ 14-16% พลังงานลม 15% ความร้อนใต้พิภพ 1% พลังงานน้ำ 11% และ Biomass 5% และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะ จึงไม่สามารถรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากที่อื่นได้ ดังนั้นการใช้พลังงานไฟฟ้าจึงต้องมาจากแหล่งผลิตภายในประเทศเท่านั้น
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจในแผนการผลิตพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่น คือการเพิ่มอัตราส่วนการผลิตของ “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” จากเพียง 6% ในปี 2019 เพิ่มขึ้นเป็น 20-22% ในปี 2030. เราไม่อาจจะเลี่ยงการพูดถึงความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะที่เกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปีได้เลย ร่องรอยความเสียหายยังคงสร้างผลกระทบและสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนถึงปัจจุบัน หากย้อนกลับไปในช่วงปี 2011 ไฟฟ้ามากกว่า 30% ของทั้งเกาะญี่ปุ่นผลิตจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 17 โรง และมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เดินเครื่องอยู่ขณะนั้นทั้งสิ้น 54 เครื่อง โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นก็ทำการทยอยปิดเตานิวเคลียร์ทั้งหมดในปีถัดไป และเริ่มกลับมาใช้งานบ้างในบางแห่งภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น
ทำไมญี่ปุ่นยังเลือกเดินหน้าต่อในการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์..
เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านเชื้อเพลิงทั้งน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ที่ญี่ปุ่นต้องอาศัยการนำเข้าเป็นหลัก โดยในปี 2023 ญี่ปุ่นนำเข้า LNG มากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ทำให้ส่งกระทบโดยตรงต่อต้นทุนพลังงานที่มีราคาสูงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับต้นทุนพลังงานที่มาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้นถือว่ามีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ประกอบกับภาวะสงครามที่ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน การที่ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องคำนึงถึง เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนภาคการผลิต การใช้งานภาคครัวเรือน และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ประกอบกับพลังงานนิวเคลียร์ถือว่าเป็นพลังงานสะอาดที่ทำให้ญี่ปุ่น ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ระหว่างกระบวนการ ซึ่งจะช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้
และอีก 1 ความหวังทางด้านพลังงานของญี่ปุ่นคือการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงผสมอย่าง ”ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย” ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงสะอาดและปลอดภัยต่อการใช้งาน โดยหากพูดถึงแค่เชื้อเพลิงไฮโดรเจนอาจจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดจากการในการใช้งาน ดังนั้นการใช้งานเชื้อเพลิงผสมระหว่างไฮโดเจนและแอมโมเนีย จึงถือเป็นทางเลือกแห่งอนาคตโดยญี่ปุ่นวางแผนเริ่มผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงดังกล่าวในปี 2030 อีกด้วย