หากพูดถึงวงการภาพยนตร์แอนิเมชันของญี่ปุ่นเชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นหูกับชื่อ ‘สตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli)’ กันอยู่บ้าง สตูดิโอจิบลิเป็นสตูดิโอที่สร้างสรรค์ผลงานอันโดดเด่น และตัวละครที่น่าจดจำมากมาย ตัวอย่างเช่น โทโทโร่ จากเรื่องโทโทโร่เพื่อนรัก (My Neighbor Totoro) คาโอนาชิ หรือปีศาจไร้หน้า จากเรื่องมิติวิญญาณมหัศจรรย์ (Spirited Away) หรือ แม่มดน้อยกิกิ จากเรื่องแม่มดน้อยกิกิ (Kiki’s Delivery Service)

หลายเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพยนตร์แอนิเมชันจากสตูดิโอแห่งนี้ นอกจากจะมอบความสุขให้แก่ผู้รับชมแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างจินตนาการและสอดแทรกข้อคิดให้กับผู้คนทุกเพศทุกวัยอีกด้วย และในปีนี้สตูดิโอจิบลิก็ได้ขนทัพเหล่าตัวละครชื่อดังมาเยือนประเทศไทยในนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กล่าวได้ว่าสาวกจิบลิไม่ควรพลาด

‘THE WORLD OF STUDIO GHIBLI’S ANIMATION EXHIBITION BANGKOK 2023’ ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม ถึง  30 กันยายน 2566
ก่อนเข้าชมนิทรรศการ มารู้จักกับสตูดิโอจิบลิกันเถอะ

จุดเริ่มต้นของสตูดิโอจิบลิมาจากความสำเร็จของการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันที่มีชื่อว่า มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม (Nausicaä of the Valley of the Wind) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการฟื้นคืนสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในอาณาจักรหุบเขาแห่งสายลมภายใต้การปกครองของเจ้าหญิงนาอูซิกะ โดยเป็นผลงานร่วมสร้างของผู้กำกับนาม มิยาซากิ ฮายาโอะ และอิซาโอะ ทาคาฮาตะ ที่ออกฉายในปี 1984

ขณะที่คำว่า “Ghibli” เป็นคำในภาษาลีเบียนที่แปลว่า “ลมร้อนที่พัดผ่านผืนทะเลทรายซาฮาร่า” ซึ่งเป็นศัพท์ที่นักบินชาวอิตาลีใช้ในระหว่างบินตรวจการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น คำว่า “Ghibli” จึงเปรียบเสมือนว่าสตูดิโอแห่งนี้จะพัดเอากระแสลมลูกใหม่มายังอุตสาหกรรมอนิเมะของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

นอกจากนี้ สตูดิโอจิบลิยังมีผลงานโดดเด่นด้านการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดยาวกว่า 25 เรื่อง ทั้งยังมีการสร้างการ์ตูนออกฉายทางโทรทัศน์ รับจ้างผลิตการ์ตูนโฆษณาและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงการสร้างแอนิเมชันขนาดสั้นอีกนับร้อยเรื่องด้วยเช่นกัน

รู้หรือไม่ อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญของสตูดิโอจิบลิ

ภาพยนตร์แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุค 90 โดยผลงานที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีคือ โทโทโร่เพื่อนรัก (1988) ซึ่งเล่าเรื่องราวการผจญภัยแสนสนุกของสองพี่น้องที่ได้พบกับ “โทโทโร่” เทพอารักษ์ขนปุกปุยที่สถิตอยู่ในป่า และ แม่มดน้อยกิกิ (1989) เรื่องราวของแม่มดน้อยฝึกหัดที่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้สูญเสียเวทมนตร์

ต่อมาในปี 2002 เรื่องราวความกล้าหาญของเด็กหญิงวัย 10 ปี ที่ต้องหาทางถอนคำสาปให้กับพ่อแม่ของเธอที่กลายร่างเป็นหมู และต้องเอาตัวรอดในโลกแห่งวิญญาณในผลงานเรื่อง มิติวิญญาณมหัศจรรย์ (2001) ก็ได้สร้างตำนานครั้งใหม่ให้กับสตูดิโอจิบลิ ด้วยคาแรคเตอร์ของตัวละครหลักที่มีเสน่ห์และจดจำง่าย เนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตาม การสอดแทรกแง่คิด ความตั้งใจและใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้ผลงานเรื่องนี้สามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาได้ และกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ช่วยผลักดันสตูดิโอจิบลิให้โด่งดังไปไกลทั่วโลก

แล้วปัจจัยใดที่ทำให้ผลงานของสตูดิโอจิบลิได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้

การวาดและออกแบบตัวละครต้นฉบับคือสิ่งที่สร้างความนิยม เอกลักษณ์โดดเด่น และเป็นที่น่าจดจำให้แก่ผลงานแอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิ การเก็บรายละเอียดของสัดส่วน การเลือกใช้สีสันที่เหมาะสมเพื่อความสมจริง นอกจากนี้ ความอลังการของฉากในภาพยนตร์ยังเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมทั่วโลก ฉากเซตติ้งที่สวยงาม สะท้อนถึงนิสัยและตัวตนของตัวละคร บอกเล่าถึงสังคม วัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ออกมาได้อย่างน่าดึงดูด

ตัวละครหลักในภาพยนตร์แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิล้วนมีบุคลิกที่ซับซ้อน มีปมในอดีตที่ซ่อนอยู่ มีความเชื่อและความต้องการตามแบบฉบับของมนุษย์ทั่วไป ความไม่สมบูรณ์เหล่านี้ทำให้ตัวละครมีเสน่ห์ การเรียนรู้จากประสบการณ์ การเปลี่ยนแปลงทางความคิด การปรับตัวตามสถานการณ์ วิวัฒนาการของตัวละครเหล่านี้ทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าติดตาม สตูดิโอจิบลิสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสนุกสนาน ทั้งยังสอดแทรกแง่คิดบางอย่างไว้ในบทภาพยนตร์เสมอ

จุดสังเกตที่น่าสนใจคือ ตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องของสตูดิโอจิบลิมักเป็นผู้หญิง หญิงสาวที่มีความฝัน เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และรักความเป็นอิสระ เป็นการสร้างความเชื่อที่ว่าผู้หญิงสามารถเป็นฮีโร่และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้เช่นเดียวกับผู้ชาย สตูดิโอจิบลิจึงนับได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการเฟมินิสต์แห่งแวดวงภาพยนตร์อนิเมะ

นอกจากผลงานภาพยนตร์แล้ว กลยุทธ์อะไรที่ผลักดันให้สตูดิโอจิบลิเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

โทโทโร่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของสตูดิโอจิบลิและเป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยเหตุนี้สตูดิโอจึงจับมือกับบริษัทผลิตของเล่น ทำให้ตัวการ์ตูนที่มีขนปุกปุยตัวใหญ่น่ากอดนี้ถูกนำมาผลิตและวางขายในรูปแบบของตุ๊กตาโทโทโร่ขนนุ่มฟู กอบกับการโปรโมทภาพยนตร์ผ่านทางโทรทัศน์ และการเดินสายจัดฉายภาพยนตร์ตามโรงเรียนต่าง ๆ ทำให้โทโทโร่มีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นขวัญใจของเด็กทั่วประเทศ

โดยในช่วงปลายปี 2001 สตูดิโอจิบลิได้เปิดตัวพิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) แห่งแรกในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตมิทากะ (Mitaka) ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว ภายในมีการจำลองฉากและจัดแสดงผลงานต่าง ๆ ของสตูดิโอจิบลิ นับเป็นการเนรมิตอาณาจักรเวทมนตร์ที่ดึงดูดให้เหล่าสาวกอนิเมะและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาเยือนด้วยตนเอง การนำตัวละครและฉากในจินตการออกมาโลดแล่นสู่โลกความจริงทำให้ผลงานของสตูดิโอจิบลิเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ภาพจาก ©2023 Inbound Platform Corp. (https://jw-webmagazine.com/ghibli-museum-videos/)
ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิมีอิทธิพลต่อผู้ชมอย่างไร

นอกจากตัวละครแล้วฉากของภาพยนตร์แอนิเมชันเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก แท้ที่จริงแล้วบางส่วนของฉากเซตติ้งที่ปรากฎในผลงานของสตูดิโอจิบลิได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถานที่ที่มีอยู่จริงบนโลก ทั้งนอกและในประเทศญี่ปุ่น

ยกตัวอย่างเช่นโรงอาบน้ำที่ปรากฎในเรื่อง มิติวิญญาณมหัศจรรย์ (Spirited Away) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโรงอาบน้ำในย่านโดโกะออนเซ็น (Dōgo Onsen) หนึ่งในโรงอาบน้ำที่เก่าแก่มากที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองเอฮิเมะ (Ehime) ภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku)

หรือแม้แต่ร้านเบเกอรี่แสนอบอุ่นจากเรื่อง แม่มดน้อยกิกิ (Kiki’s Delivery Service) ได้ต้นแบบมาจากร้าน Ross Village Bakery ร้านขายขนมปังเก่าแก่ของรัฐแทสเมเนีย ประเทศออสเตรเลีย

กล่าวได้ว่า การนำสถานที่ที่มีอยู่จริงมาเป็นต้นแบบของฉากในภาพยนตร์แอนิเมชันนับเป็นการสร้างโลกแห่งเวทมนตร์ให้กับสถานที่เหล่านั้น ขณะที่ความประทับใจจากการชมภาพยนตร์ทำให้เกิดกระแสนิยมการเดินทางตามรอยสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสและเพิ่มรายได้ให้กับบุคคลหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งผลดีต่อการเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นับว่าเป็น Soft Power ที่แฝงมากับการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันอย่างแท้จริง

สตูดิโอจิบลิในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง

ภายหลังจากผ่านพ้นสถานการณ์โควิด สตูดิโอจิบลิทำกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเชิงรุกทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 มีการเปิดตัวสวนสนุกสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli Theme Park) แห่งแรกในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองนากาคุเตะ (Nagakute) จังหวัดไอจิ (Aichi) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนาโกย่า (Nagoya) เพื่อดึงดูดให้สาวกภาพยนตร์แอนิเมชันจากทั่วโลกเดินทางไปเยือนดินแดนแห่งจินตนาการ

ภาพจาก © 2023 GHIBLI PARK Co., Ltd.

สำหรับในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมามีการฉายภาพยนตร์อนิเมชั่นผ่านทางสตรีมมิงของเน็ตฟลิกซ์ Netflix หนึ่งในแอพพลิเคชั่นดูหนังที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งส่งผลให้ภาพยนตร์อนิเมะของสตูดิโอจิบลิกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

ภาพจาก Netflix Thailand

นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2022 สตูดิโอจิบลิยังได้จับมือกับยูนิโคล่ (Uniqlo) แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาคอลเลกชัน พิเศษของเสื้อยืด UT โดยได้นำคาแรกเตอร์จากเรื่อง โทโทโร่เพื่อนรัก (My Neighbor Totoro) มาเป็นจุดขาย พร้อมด้วยการจัดนิทรรศการพิเศษในชื่อ “My style, My ghibli” ซึ่งนับได้ว่าเป็นการจัดนิทรรศการขนาดใหญ่นอกญี่ปุ่นครั้งแรก ความนิยมและชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้นของสตูดิโอจิบลิจึงนำมาสู่การจัดนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

ภาพจาก © บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด
นำท่านสู่นิทรรศการแอนิเมชั่นจิบลิที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไลฟ์ เนชั่น เทโร ร่วมกับ สตูดิโอจิบลิ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ร่วมสร้างปรากฏการณ์โดยการจัดงานนิทรรศการ THE WORLD OF STUDIO GHIBLI’S ANIMATION EXHIBITION BANGKOK 2023 ซึ่งเป็นการนำเอาฉากเซตติ้งและเหล่าตัวละครจากภาพยนตร์อนิเมชั่น 10 เรื่องของสตูดิโอจิบลิมาจัดแสดง เปิดโอกาสให้แฟน ๆ เข้าไปสำรวจโลกแห่งจินตนาการ สัมผัสประสบการณ์ครั้งใหม่ที่ไม่ได้อยู่แค่ในจอ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2566 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ไลฟ์ ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ บัตรราคา 650 บาท จำหน่ายทางเคาน์เตอร์ไทยทิคเก็ตเมเจอร์และเว็บไซต์ หรือบริเวณหน้างาน นิทรรศการนี้สาวกจิบลิไม่ควรพลาด!!

รายชื่อฉากจากภาพยนตร์ที่จัดแสดงในนิทรรศการ
  1. เครื่องบินของนาชิกา จาก Nausicaä of the Valley of the Wind
  2. ปราสาทกลับหัว หรือ ลาปูต้า (Laputa) จาก Castle in the Sky
  3. ป้ายรถเมล์และบ้านต้นไม้ จาก My Neighbor Totoro
  4. จักรยานลอยฟ้าและร้านขนมปัง จาก Kiki’s Delivery Service
  5. ชายหาดพักผ่อน จาก Porco Rosso
  6. บ้านของเหล่าทานุกิ จาก Pom Poko
  7. ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ จาก Princess Mononoke
  8. คาโอนาชิและรถไฟแห่งวิญญาณ จาก Spirited Away (มี Easter Egg เป็นทุเรียน)
  9. ปราสาทเวทมนตร์ จาก Howl’s Moving Castle (มี Easter Egg เป็นน้องหมา)
  10. โปเนียวและเหล่าฝูงปลา จาก Ponyo on the Cliff by the Sea (จัดแสดงที่หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งถนนพระราม 1)
0 Shares:
You May Also Like